การศึกษาในศตวรรษที่ 21
ศตวรรษที่ 21
ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าท้ายความสามารถของมนุษยชาติ
เพราะเป็นยุคที่โลกต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
และข้อมูลข่าวสารทุกอย่างก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงรอบตัวเราอีกต่อไป
แค่เพียงคลิกที่ปลายนิ้ว
เราก็สามารถก้าวข้ามพรมแดนไปได้ทุกซอกทุกมุมโลก
ซึ่งแวดวงทางการศึกษาทั่วโลกต่างก้าวพ้นรูปแบบการเรียนการสอนที่ใช้ครูเป็นศูนย์กลาง มาเป็นการเรียนรู้ในแบบกระบวนทัศน์ใหม่ เรียกได้ว่าเป็นการจัดการศึกษายุคฐานแห่งเทคโนโลยี
หรือ Technology Based
Paradigm ในขณะทีประเทศไทยได้เล็งเห็นความสำคัญและมุมมองของการเตรียมเด็กไทยสู่ศตวรรษที่ 21 ในประเด็นดังต่อไปนี้
คุณลักษณะของเด็กไทยในศตวรรษที่
21 จะต้องมีคุณลักษณะที่สำคัญ 3
ประการ
ประการแรก คือ มีทักษะที่หลากหลาย
เช่น สามารถทำงานร่วมกับคนเยอะๆ ได้อย่างรวดเร็ว รับผิดชอบงานได้ด้วยตนเอง
และรู้จักพลิกแพลงกระบวนการแก้ไขปัญหาได้
ประการที่สอง คือ
มองโลกใบนี้เป็นโลกใบเล็กๆ
ไม่ได้จำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะประเทศไทยเพื่่อมองหาโอกาสใหม่ๆที่มีอยู่อย่างมากมาย
ประการสุดท้าย คือ
เด็กไทยยุคใหม่ต้องมีทักษะด้านภาษาเพราะหากพูดหรือใช้แต่ภาษาไทยก็เหมือนกับมี"กะลา"มาครอบไว้
การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ครูจะต้องปรับแนวทางการเรียนการสอน
(pedagogy) โดยครูจะต้องทำให้เด็กรักที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต
และมีเป้าหมายในการสอนที่จะทำให้เด็กมีทักษะชีวิต
ทักษะการคิด และทักษะด้านไอที
ซึ่งไอทีในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ใช้คอมพิวเตอร์เป็นหรือใช้ไอแพดเป็น
แต่หมายถึงการที่เด็กรู้ว่า
เมื่อเขาอยากรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งเขาจะไปตามหาข้อมูล (data) เหล่านั้นได้ที่ไหน
และเมื่อได้ข้อมูลมาเด็กต้องวิเคราะห์ได้ว่าข้อมูลเหล่านั้นมีความน่าเชื่อถือเพียงใด
และสามารถแปลงข้อมูลเป็นความรู้ (knowledge)
ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องเกิดจากการฝึกฝน
ครูจะต้องให้เด็กได้มีโอกาสทดลองด้วยตนเอง
The
Flipped Classroom หรือ การเรียนแบบ "พลิกกลับ" คือ วิธีการเรียนแนวใหม่ที่ฉีกตำราการสอนแบบเดิม
ๆ ไปโดยสิ้นเชิงและกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกปัจจุบันที่
"การศึกษา" และ "เทคโนโลยี"
แทบจะเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน Flipped Classroom
เป็นการเรียนแบบ "กลับหัวกลับหาง" หรือ "พลิกกลับ" โดยเปลี่ยนรูปแบบวิธีการสอนจากแบบเดิมที่เริ่มจากครูผู้สอนในห้องเรียน นักเรียนกลับไปทำการบ้านส่ง
เปลี่ยนเป็นนักเรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ผ่าน "เทคโนโลยี"
ที่ครูจัดหาให้ก่อนเข้าชั้นเรียน และมาทำกิจกรรม โดยมีครูคอยแนะนำในชั้นเรียนแทนในต่างประเทศ
วิธีการสอนแบบ "พลิกกลับ"
กำลังเป็นที่แพร่หลายในวงกว้างมากขึ้น
โดยสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของ Flipped Classroom นี้ก็คือ การใช้เทคโนโลยี การเรียนการสอนที่ทันสมัย
และการให้นักเรียนได้มีโอกาสเรียนรู้ผ่านกิจกรรม
ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะกระตุ้นให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้อย่างเต็มที่ ที่มาของการเรียนการสอนแบบ Flipped Classroom เกิดขึ้นในปี 2007 โดยครู 2 คน ในรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา
ชื่อ โจนาธาน เบิร์กแมน และแอรอน
แซมส์ ได้ถ่ายคลิปวิดีโอการสอนของตนเองเอาไว้สำหรับนักเรียนที่ขาดเรียน
เมื่อคลิปบทเรียนของครูทั้งสองเริ่มแพร่ขยายออกไปในวงกว้าง ครูหลายคนจึงเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ อาทิ Podcasts หรือ YouTube เพื่อสอนนักเรียนนอกห้องเรียนและสงวนเวลาในชั้นเรียนไว้สำหรับการรวมกลุ่มทำแบบฝึกหัด
หรือ ทำกิจกรรมร่วมกัน และผลลัพธ์ที่ได้
คือ ดีกว่าการเรียนการสอนแบบเดิม นักเรียนจะสามารถศึกษาดูผ่านทางโทรทัศน์ หรือ
ในห้องแล็ปคอมพิวเตอร์ หรือดูจากที่บ้านได้
เมื่อเข้าชั้นเรียน จะได้ใช้เวลาในห้องเรียนเพื่อแก้ปัญหาต่าง
ๆในเรื่องที่สงสัย หรือขอให้ครูอธิบายเพิ่มเติมได้เข้าใจยิ่งขึ้น
และเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์อย่างไม่มีขีดจำกัด
ในรูปแบบการเรียนการสอนวิธีนี้
ถือว่าเป็นการเรียนการสอนที่เน้นในรูปธรรมให้นักเรียนได้เห็นและปฏิบัติจากประสบการณ์จริง
ซึ่งจะทำให้นักเรียนมีการจดจำและเกิดทักษะการเรียนรู้ได้ดีกว่าที่เรียนแบบนามธรรม แต่ในมุมมองอีกด้านหนึ่งที่กว่าจะสอนให้นักเรียนรู้จักวิเคราะห์
เลือกใช้สื่อที่ถูกต้อง รู้จักเลือกศึกษาค้นคว้าในเรื่องต่าง ๆ
ที่ตนเองสนใจนั้น
ก็จะมีสื่อที่ไม่เหมาะสมกับนักเรียนก็จะแทรกอยู่บนหน้าจอเหมือนกัน ดังนั้นในการใช้สื่อต่าง ๆในด้านของไอที
ก็ควรที่แนะนำให้เข้าใจอย่างแท้จริงและในระยะแรกก็ต้องมีผู้คอยให้คำแนะนำที่ดีไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง
ครูต้องมีส่วนร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันให้กับนักเรียนด้วยเหมือนกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น